เรื่องราวของน้ำผึ้งและชาแห่งบ้านหินลาดใน
บ้านห้วยหินลาดในเป็นหมู่บ้านชาวปกาเกอะญอ มีพื้นที่ป่าที่ชาวบ้านช่วยกันดูแลเป็นพื้นที่ประมาณ 10,000 ไร่ ป่าบ้านห้วยหินลาดในเป็นเป็นป่าดิบแล้ง (ป่าไม่ผลัดใบ) สภาพป่าสมบูรณ์เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ที่หลากหลายและเป็นแหล่งต้นน้ำแม่ลาวที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง ชุมชนหินลาดในมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมประเพณีที่มีความผูกพันกับป่าที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ ทำให้การจัดการทรัพยากรป่ามีความเคารพต่อวิถีธรรมชาติ เน้นความสมดุลธรรมชาติอย่างยั่งยืน การดูแลป่าที่อาศัยการจัดการโดยใช้จารีต ประเพณี และวัฒนธรรม ด้วยวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับบริบทของระบบนิเวศป่านี้ ชาวบ้านจึงใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมและสมัยใหม่ผสมผสานกันแล้วจึงเลือกอาชีพที่รักษาความสมดุลระหว่างมนุษย์กับป่า มีการเรียนรู้ ทดลอง และพยายามปรับตัวโดยการมองหาการดำรงชีพที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและช่วยส่งเสริมให้ระบบนิเวศป่านั้นมีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คำสุภาษิตโบราณที่ว่า “ออทีเก่อตอที เอาะก่อเก่อตอก่อ” แปลว่าดื่มน้ำรักษาน้ำ ใช้สรรพสิ่งดูแลสรรพสิ่ง ดังนั้นชาวบ้านจึงเลือกการเลี้ยงผึ้งป่ากับการปลูกชาแบบผสมผสานเป็นอาชีพที่หารายได้เป็นหลัก
ชาธรรมชาติ
“ชา” ส่วนมากจะมีอยู่แถบภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งทางชาวล้านนาจะรู้จักกินชาแบบเมี่ยงอม การอมเมี้ยงเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของล้านนาสมัยก่อน ต้นชาหมู่บ้านหินลาดในมีมานานเนื่องจากที่นี่เป็นป่าชามาก่อน ซึ่งที่หินลาดในเดิมทีจะเก็บเป็นชาเมี้ยงก่อน และหลังจากนั้นมีคนจีนฮ่อเข้ามาสอนวิธีการเก็บ การแปรรูป และการดื่มชา ที่นี่จึงเริ่มมีวัฒนธรรมการดื่มชาเข้ามา ซึ่งในระยะเวลาดั่งกล่าวชาวบ้านจึงเริ่มมีการดูแลต้นชาอย่างจริงจังมากขึ้น เนื่องจากเกิดเป็นรายได้ให้กับชาวบ้านมากขึ้น โดยเริ่มจากการให้ต้นชาได้แดดมากขึ้นโดยการตัดแต่งกิ่งไม้บางต้นที่มีลักษณะใบทึบออกบางส่วน และมีการตัดหญ้าบริเวณรอบๆต้นชา เนื่องจากชาที่นี่เป็นชาพันธุ์อัสสัมซึ่งสามารถเติบโตใต้ร่มไม้ได้ดีทำให้ไม่จำเป็นต้องตัดต้นไม้ใหญ่ลง ต่อมาชาวบ้านมีการขยายจำนวนต้นชาโดยการนำเมล็ดมาหว่านเพิ่มเนื่องจากชาต้นแม่นั้นมีไม่มากพอ เราจึงเรียนรู้และพัฒนาชาตามยุคสมัยมาจนถึงยุคปัจจุบัน ณ ตอนนี้มีชาของชุมชนหินลาดในมีการแปรรูปอยู่สองแบบ คือ
- ชาเขียว (โดยกระบวนการคั่วในกระทะก่อนจากนั้นเอาไปนวดแล้วไปตากแห้ง)
- ชาดำ (ผึ่งลม นวด และตากแห้ง)
ซึ่งชาในแต่ละฤดูกาลนั้น รสชาติ กลิ่น และสีจะต่างการออกไป ฤดูร้อน เรียกว่าชาต้นปี จะมีรสชาติ กลิ่น และสีที่เข้มกว่าฤดูอื่นๆ ฤดูฝน จะมีรสชาติ กลิ่น และสีที่จาง ความเข้มข้นจะลดลงเพราะโดนน้ำฝนชำระล้าง และฤดูหนาว เรียกว่า ชาน้ำค้างหรือชาเหมย จะมีรสชาติที่ปานกลางเมื่อเทียบกับอีกทั้งสองฤดู และซึ่งชาที่เราแปรรูปมาแล้วนั้นยิ่งเก็บนานยิ่งมีรสชาติที่ดี
ดังนั้นชาหินลาดในเป็นชาธรรมชาติพันธุ์อัสสัม วิธีการปลูกชาใช้วิธีควบคุมดูแลทุกอย่างด้วยกระบวนการทางธรรมชาติโดยอาศัยระบบนิเวศป่า ในสวนชาของบ้านห้วยหินลาดในไม่มีเพียงเฉพาะต้นชาเท่านั้น แต่มีหลากหลายกว่าร้อยชนิด เช่นจำพวกไม้ยืนต้น ปาล์ม หวาย และตระกูลขิงข่าเป็นต้น นอกจากปลูกเป็นธรรมชาติแล้วขั้นตอนการแปรรูปก็เป็นแบบธรรมชาติและเป็นกรรมวิธีดั้งเดิม เพราะฉะนั้นการแปรรูปจึงต้องอาศัยความใส่ใจ จึงใช้ระยะเวลามากกว่าและได้ปริมาณที่จำกัดในแต่ละปี
ผึ้ง ป่า และคน
ผึ้งป่ามีสี่ประเภทคือ ผึ้งหลวง ผึ้งโพรง ผึ้งมิ้น และผึ้งชันโรง ผึ้งที่ชาวบ้านห้วยหินลาดในเลือกที่จะเลี้ยงคือผึ้งโพรงกับผึ้งชันโรง เพราะมีการดูแลและจัดการง่าย โดยเฉพาะการเลี้ยงผึ้งโพรงของบ้านหินลาดในเลี้ยงด้วยวิธีการธรรมชาติ โดยเริ่มต้นศึกษาวิธีการเรียนรู้จากภูมิปัญญาดั้งเดิมและเรียนรู้เพิ่มเติมจากประเทศญี่ปุ่น ผึ้งเป็นแมลงที่ช่วยให้ป่าอุดมสมบูรณ์เพราะผึ้งช่วยผสมเกสรให้กับต้นไม้ในป่า เพราะฉะนั้นการเลี้ยงผึ้งถือเป็นการช่วยป่า ช่วยผึ้ง และช่วยคน ผึ้งเหล่านี้มักอาศัยอยู่ในโพรงของต้นไม้หรือในโพรงดิน ในชุมชนบางแห่งมีการศึกษาและทดลองเลี้ยงผึ้งโพรงโดยใช้กล่องที่ทำจากเศษไม้ โดยทาขี้ผึ้งแท้รอบๆ ทางเข้าของผึ้งที่มีลักษณะเป็นรูถูกเจาะอยู่ข้างกล่อง เพื่อล่อผึ้งเข้ามาอยู่ในกล่องนั้น กล่องผึ้งจะถูกวางไว้ในสถานที่เหมาะสม เช่น ใต้ต้นไม้ใหญ่, ข้างลำธาร หรือโขดหิน โดยปล่อยให้ผึ้งหาเกสรดอกไม้ตามธรรมชาติ
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการวางกล่องผึ้งคือราวเดือนธันวาคมถึงมกราคม เนื่องจากในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนเป็นช่วงที่ดอกไม้ในป่าออกดอกมากมาย เช่น ดอกก่อ, ดอกพยอม และดอกดงดำ ซึ่งแต่ละชนิดมีรสชาติ, กลิ่น และสีที่แตกต่างกัน น้ำผึ้งจะถูกเก็บรวบรวมในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ ชุมชนยังนำรายได้จากการขายน้ำผึ้งส่วนหนึ่งเข้ากองทุน เพื่อใช้ในการดูแลทรัพยากรป่า เช่น การทำแนวกันไฟและเฝ้าระวังไฟป่า เพื่อป้องกันการเกิดไฟป่าในแต่ละปี